5/26/2016

เมื่อเช้าคุณทานอะไรมาหรือยัง

"เมื่อเช้าคุณทานข้าวหรือยัง" หรือ "เมื่อเช้าคุณทานอะไรมาหรือยัง"

ภาษาอังกฤษพูดว่า


Did you have anything to eat this morning?
ดิด ยู แฮฟ เอนิธิง ทูอีท ดิส มอรฺนิ่ง

Did you have breakfast this morning?
ดิด ยู แฮฟ เบรคฟัสทฺ ดิส มอรฺนิง


แต่หากจะถามว่า "เมื่อเช้าคุณทานอะไร" ภาษาอังกฤษพูดว่า

What did you have for breakfast?
ว็อท ดิด ยู แฮฟ ฟอร์ เบรคฟัสทฺ

ทานข้าวหรือยัง

ทานข้าวหรือยังภาษาอังกฤษ พูดว่าอย่างไร

ปกติคนไทยถามกัน เรามักใช้คำว่าทานข้าวหรือยัง แต่ในความหมายที่แท้จริง เราไม่ได้หมายถึงแค่ข้าว แต่หมายรวมถึง อาหารอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นข้าว หรือต้องทานกับข้าว ก็ประมาณว่า ทานอะไรหรือยังอะไรประมาณนี้ อีกอย่างก็คือ ฝรั่งเขาไม่ค่อยทานข้าวกัน เวลาเราจะถามเขาว่า "ทานข้าวหรือยัง" เราควรใช้ว่า
"ทานอะไรหรือยัง" จะฟังดูครอบคลุมกว่า แต่สำหรับคนไทยถามได้ทั้งสองอย่างที่กล่าวมาข้างต้น
ดังนั้นเวลาเราจะถามว่า "ทานข้าวหรือยัง" หรือ "ทานอะไรหรือยัง" ในภาษาอังกฤษ พูดว่า

Have you eaten yet?
แฮฟ ยู อีทเทิ่น เยท

Have you had anything to eat?
แฮฟ ยู แฮด เอนิธิง ทู อีท


5/23/2016

100 ศัพท์ สำนวน และประโยคภาษาอังกฤษน่ารู้ Part 1

  
1. Exactly right.  ใช่  ใช่เลย แหงอยู่แล้ว  ถูกเผงเลย  เป๊  ตรงเป๊  นั่นสิ
    เอ็ค แซค ลิ ไร-ทฺ

2. No problem. ได้เลย  ได้สิ  ไม่มีปัญหา  ได้อยู่แล้ว
    โน พรอเบล็ม

3. Sure. แน่นอน  แน่ใจ  แน่อยู่แล้ว  มั่นใจ  ได้สิ
     ชัวร์
    
4. Not bad. / Not too bad. ก็ไม่เลว ไม่ค่อยเลว เข้าท่า  พอได้ ใช้ได้ พอใช้ได้
     น็อท แบ้ด / น็อท ทู แบ้ด

5. That's right. ใช่  ใช่เลย  ใช่สิ  ใช่สินะ  ก็ถูกนะ
      แธ็ท-สฺ  ไร้-ทฺ
     
6. Come on. มานี่ มานี่หน่อย มานี่ซิ
     คัมมอน
    
7. Come on! (คำอุทาน) ไม่เอาน่า
     คัมมอน

8. Yes, right. ถูกต้อง
     เยส ไร้-ท

9. I'm not going. ฉันไม่ไป
    ไอ-มฺ น็อท โกอิ้ง

10. I'll let you go. ฉันจะปล่อยคุณ ฉันจะปล่อยคุณไป
       ไอ-ลฺ เล็ท ยู โก

11. I'll be back. ฉันจะกลับมา
       ไอ-ลฺ บี แบ็ค

12. I'll be right back. เดี๋ยวมา  ไปแป๊บเดียว
        ไอ-ลฺ บี ไร้-ทฺ แบ็ค

13. What's up? เกิดอะไรขึ้น  หรือใช้เป็นคำทักทายของวัยรุ่น
        ว็อท-ส อัพ    มักใช้กับเพื่อนสนิทหรือคนที่รู้จักกันดีเท่านั้น แปลว่า "เป็นไง"
       
14. Then what? แล้วไงต่อ
        เด็น ว็อท

15. So what? แล้วไง  ใครจะไปสนใจล่ะ
        โซ ว็อท

16.  I'm over it. ฉันทำใจได้แล้ว
         ไอ-ม โอเฟอร์ อิท ( เวลาพูดออกเสียงเป็น  ไอ-ม โอเฟอะ หริท)

17. Get over it. ทำใจซะ ทำใจเถอะนะ
        เก็ท โอเฟอะ หริท

18.  My car broke down.  รถฉันเสีย
        มาย คาร์ โบรค ดาว-นฺ

19. I'm game. ฉันลุย ถ้าคุณเอาฉันก็เอา
        ไอ-มฺ เกม

20. I have a day off today. วันนี้ฉันหยุด วันนี้วันหยุด
        ไอ แฮฟ อะ เดย์ ออฟ ทูเดยฺ

21. Fed up. เบื่อหน่าย  เอือมระอา
        เฟ็ด อัพ  ออกเสียงเป็น  "เฟ็ด ดัพ"

22. All of it. ทั้งหมด
       ออล ออฟ อิท  ออกเสียงเป็น "ออล ลอฟ ฝิท"

23. Almost there.  เกือบถึงแล้ว  ใกล้จะถึงแล้ว
        ออว-ล โมส-ทฺ แดร์

24. Bear in mind. จำไว้นะ
       แบร์ อิน มาย-น-ดฺ ( แบ ริน  มาย-นฺ-ดฺ)

25.  Down it. หมดแก้ว
         ดาว-นฺ อิท  (ดาว-นฺ หนิท)

26. Face me.  มองหน้าฉันสิ
       เฟส มี

27. Repeat after me.   พูดตามฉันบอก
        รีพีท อัฟเตอร์ มี

28.  l'm sorry I'm late. ขอโทษที่มาสาย
         ไอ-ม ซอริ ไอ-ม เลท

29. Great! เยี่ยม  ยอดเยี่ยม  ยอดเลย  วิเศษย์ไปเลย
       เกรท

30. What for? เพื่ออะไร
       ว็อท ฟอร์

31. Well done! ทำได้ดี  เก่งมาก 
        เวว-ล ดัน

32. Put it back. วางไว้ที่เดิม  ใส่ไว่ที่เดิม  เก็บไว้ที่เดิม
        พุท อิท แบ็ค ออกเสียงเป็น "พุท ถิท แบ็ค"

33. Don't mention it. ไม่เป็นไร  (ใช้ตอบรับคำขอบคุณ)
        โด้น-ทฺ เมนเชิ่น อิท  (โด้น-ทฺ เมนเชิ่น หนิท) 

34. Congratulations. ยินดีด้วยนะ
       คอนเกรชูเลเชิ่น-ส

35. That's all. แค่นั้นแหละ แค่นั้นเอง
       แด็ท'ส ออล  ออกเสียงเป็น "แด็ท ซอล"

36. You made it! เก่งมาก  คุณทำได้
        ยู เมด อิท   ออกเสียงเป็น "ยู เมด ดิท"

37. Take it easy! ตามสบาย (ไม่ต้องเกรงใจ)  เชิญตามสบาย   ใจเย็นๆบายๆ (ไม่ต้องรีบ)
        เทค อิท อี๊สิ

38. Thank you anyway! ยังไงก็ขอบใจแล้วกัน
        แธ้งคิว เอนิเว

39. Becareful! ระวังหน่อย   อย่าประมาท
        บิแครฺฟูล

40. Drive carefully! ขับดีๆนะ  ขับระวังหน่อยนะ
        ไดรฟ แครฺฟูลิ

41. Damn it! ให้ตายสิ 
        แดม อิท

42. I'm stressed out. ฉันเครียด
        ไอ'ม สเตรด เอ้าทฺ

43. Don't beat around the bush! อย่าออ้มค้อม
        โด้นทฺ บีท อะราวดฺ เดอะ บุช

44. I had a bad dream. ฉันฝันไม่ดีเลย
        ไอ แฮด อะ แบด ดรีม

45. That's not fair. ไม่ยุติธรรมเลย
         แด็ท'ส น็อท แฟรฺ

46. I 'm in trouble. ฉันกำลังเดือดร้อน  ฉันมีปัญหา 
        ไอ'ม อิน ทรับโบ้

47. I'm stuck. ฉันหมดหนทาง  ฉันทำต่อไปไม่ไหว  เดินหน้าต่อไปไม่ไหว
        ไอ'ม สตั้ค
       
48. I'm finished.  ฉันแย่  แย่แน่
        ไอ'ม ฟินิช-ทฺ  
    
49. How embarrassing! น่าขายหน้าจัง
        ฮาว เอ็มบะรัสซิง

50. Hush! เงียบหน่อย
        ฮัชชชชช.....

51. Such a beautiful day today! วันนี้อากาศดีจัง 
        ซัช  อะ บิวทิฟูลฺเดยฺ  ทูเดย์

52. Don't let me down. อย่าทำให้ฉันผิดหวัง
        โด้น- ทฺ เล็ท มี ดาวนฺ

53. Mind your words! ระวังคำพูดของคุณด้วย
        มายนฺ-ดฺ ยัวรฺ เวิร์ด-สฺ

54. Nothing goes right. ไม่มีอะไรราบรื่นเลยสักอย่าง
        นัทธิง โกสฺ ไร-ทฺ

55. That's too much. มากไปล่ะ  มากเกินไปแล้ว  เยอะเกินไป
        แดท'ส ทู มัช

56. Someone right. คนที่ใช่
        ฅัมวัน  ไรทฺ

57. Say something. พูดอะไรสักอย่างสิ
        เซ ซัมธิง

58. May I have a look? ขอฉันดูหน่อยได้ไหม
       เม  ไอ แฮฟ อะ ลุค

59. Not at all. ไม่เลย
       น็อท แอท ออล ออกเสียงเป็น  น็อท แอ็ท  ทอล

60. I give up. ฉันยอม  ฉันยอมแพ้
        ไอ  กิฟ  อัพ  (ไอ กิฟ ฟัพ)

61. Don't make a mess. อย่าทำเลอะเทอะ
        โด้น-ทฺ เมค อะ เมส

62. Gently, please! เบาๆ   จับเบาๆ   ทำเบาๆ 
        เจนลิ พลีส

63. Don't worry! อย่าห่วงเลย   อย่ากังวลไปเลย
       โด้น-ทฺ วอริ

63. I'm exausted. ฉันหมดแรง  ฉันล้า  ฉันเหนื่อย
       ไอ'ม เอ็กซอสถิด

64. I'm vegetarian. ฉันทานมังสวิรัติ
        ไอ'ม  เวเจททะเรียน

65. Log on. เข้าระบบ
        ล็อก ออน

66. Log off. ออกจากระบบ
        ล็อก ออฟ

67. Turn on. เปิด (ใช้กับอุปกรณ์อิเล็คโทรนิค เช่น Turn on the light = เปิดไฟ)
        เทิร์น ออน
       
68. Turn off. ปิด (ใช้กับอุปกรณ์อิเล็คโทรนิค เช่น Turn off the phone = ปิดโทรศัพท์)
        เทิร์น ออฟ

69. So so. ก็งั้นๆ  เรื่อยๆ
       โซ โซ
       
70. So beautiful!  สวยจัง
       โซ บิวทิฟูล
      
71. So good. ดีมากเลย    ดีจัง
       โซ กู้ด
      
72. So bad. แย่จัง   ไม่ดีเลย   ไม่ดีเอามากๆเลย
       โซ แบ้ด
       
73. Of course.  ใช่เลย   ได้สิ
        ออฟ คอร์ส

74. That's true. จริงด้วย   ก็จริงนะ
        แด็ท'ส ทรู

75. I think so too. ฉันก็คิดอย่างนั้น  ฉันก็ว่างั้นแหละ
        ไอ ธิ้งคฺ โซ ทู

76. I think so. คงใช่มั้ง คงงั้นมั้ง (กรณีไม่ค่อยแน่ใจ)
       ไอ ธิ้งคฺ โซ ทู

77. You can say that again. พูดอีกก็ถูกอีกหล่ะ
         ยู แคน เซ แด็ท อะเกน

78.  Ask for trouble. หาเรื่องเดือดร้อน
         อาส-คฺ ฟอร์ ทรับโบ้ว

79. Fond of. ชอบ  โปรดปราน (วางหลัง verb to be)
        ฟอนดฺ ออฟ

80. Calm down – สงบสติอารมณ์   สงบใจ  ทำใจให้สงบ  ทำให้สงบ
        คาล์ม ดาว-นฺ

81. Dead tired. เหนื่อยแทบตาย  เหนื่อยใจจะขาด  (วางหลัง verb to be)
        เดเ ไทเอิร์ด

82. I'm kidding. ฉันล้อเล่น
        ไอ'ม คิดดิ้ง

83. Don't be silly. อย่างี่เง่านักเลย
        โด้นท์ บี ซิลลิ

84. You read mine mind. คุณคิดเหมือนฉันเลย
        ยู รีด มาย-นฺ  มายนฺ-ดฺ

85. Better than nothing. ดีกว่าไม่ได้อะไร  ดีกว่าไม่เหลืออะไร  ยังพอได้
        เบ็ทเทอะ แดน นัทธิง

86. Keep an eye on him. จับตาดูเขาไว้นะ
       คีพ แอน-ดฺ อาย ออน ฮิม

87. Now and then. เป็นครั้งคราว
       นาว แอน-ดฺ เดน

89. Day light robbery. คิดราคาเกินความเป็นจริง
        เด ไลทฺ ร็อบเบอริ

90. Out of reach. เอื้อมไม่ถึง
        เอ้าทฺ ออฟ รีช

91. Out of order. เสียใช้การไม่ได้  พัง  รวน  (รวมถึงนิสัยที่ไม่ดี แย่จนใครก็รับไม่ได้)
        เอ้าทฺ ออฟ ออรฺเดอรฺ

92. Face to face – ซึ่งๆ หน้า   ประชันหน้ากัน  จะๆ   ต่อหน้า
        เฟส ทู เฟส

93. From now on. จากนี้ไป  จากนี้เป็นต้นไป
        ฟรอม นาว ออน

94. Put off. เลื่อนกำหนดออกไป เลื่อนเวลาออกไป  ยืดเวลาออกไป
        พุท ออฟ  (พุท ทอฟ)

95. Put up with.  ทำใจถึงแม้ไม่ชอบ ฝืนใจยอมรับ
        พุท อัพ วิธ  (พุท ทัพ วิธ)

96. Again and again.   ครั้งแล้วครั้งเล่า   อีกหลายหนหลายครั้ง
        อะเกน แอนดฺ อะเกน

97. Not again! อีกแล้วหรือ  อีกละ  
        น็อท อะเกน

98. Not a chance. เป็นไปไม่ได้
        น็อท อะ ช้าน-สฺ

99. No kidding. ไม่ได้ล้อเล่น  พูดจริงๆนะ
        โน คิดดิ้ง

100. Keep in touch – ติดต่อกันไปเรื่อยๆ ติดต่อกันไม่ได้ขาด
          คีพ อิน ทัช

การใช้ sorry, excuse me, apologize, pardon, pardon me และ I beg your pardon

"การขอโทษ" ภาษาอังกฤษ ( Apology ) ที่นิยมใช้ มี 4 แบบ ดังนี้
1.  Sorry
2.  Excuse me
3.  I beg your pardon  หรือ   Pardon  หรือ  Pardom me
4. Apologize
ซึ่งแต่ละแบบก็ถูกใช้แตกต่างกันออกไป แต่อาจใช้แทนกันได้บางกรณี ดังนี้
แบบที่ 1    Sorry  ( ซอ' ริ )
คำว่า  " Sorry " แปลว่า ขอโทษ หรือ เสียใจ ใช้ขอโทษหรือแสดงความเสียใจ ดังนี้
กรณีที่ 1 เมื่อทำผิด หรือทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง แล้วต้องการขอโทษ อาจพูดว่า
Sorry.
I'm sorry.
I'm sorry that's my fault.
I'm sorry I'm late.
I'm sorry for the mistake.
I'm sorry to trouble you.
I''m sorry I didn't mean to do that.
I'm sorry to hurt you.
กรณีที่ 2 เมื่อได้ยินข่าวร้าย ข่าวที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ หรือแสดงความผิดหวัง ส่วนมากใช้ว่า  I'm sorry to that.  เช่น
ตัวอย่างบทสนทนา
Nick : Hi Sarah, how are you today?
Sarah :  Not very well. I have got a terrible headache.
Nick : I'm sorry to hear that. I think you should go back and have some rest.
Sarah : Yes I may. Thank you.
กรณีที่ 3 เมื่อต้องการปฏิเสธข้อเสนอ หรือคำเชิญชวน เช่น
ตัวอย่างบทสนทนา
Alice : Jack , I'm going to the library would you like to come?
Jack : I'm sorry I'm really busy but thank you anyway. Maybe next time.
Alice : No problem. See you later bye.
Jack : Bye.
กรณีที่ 4 กรณีฟังไม่ชัด หรือฟังไม่เข้าใจ ต้องการถามคู่สนทนาว่า "เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ" เช่น
ตัวอย่างบทสนทนา
Ben : How much does the car cost?
Seller : It costs eight hundred thousand and five hundred baht.
Ben : Sorry?
Seller : It's eight hundred thousand and five hundred baht.
Ben : Ok. Thanks
Seller : Your welcome.
มาดูอีกหนึ่งตัวอย่าง
Mum : Tina, would you pass me me the salt please?
Tina : Sorry mum,  what did you say?
Mum : I said " could you pass me the salt please ? "
Tina : Oh yes, here you are.
Mum : Thanks.
แบบที่ 2    Excuse me  ( เอ็กซฺ กิวซฺ' มี )
คำว่า  " Excuse me "   ใช้ขอโทษในกรณี เมื่อต้องการขัดจังหวะบุคคลอื่น ก่อนการพูด ถาม  ขอร้อง ไหว้วาน รบกวน บอกกล่่าว ตักเตือน ขออนุญาต ขอทาง หรือ เมื่อกระทำกริยาไม่สุภาพ เช่น
กรณีที่ 1  เมื่อต้องการถาม
Excuse me, what time is it please?
Excuse me, could you tell me the way to the airport please?
Excuse me, are you Mr. Jones?
กรณีที่ 2  เมื่อต้องการขอร้อง ไหว้วาน หรือรบกวนบุคคลอื่น
Excuse me, would you open the window please?
Excuse me, can you help me move the table please?
กรณีที่ 3 บอกกล่่าว ตักเตือน
Excuse me sir, it's no smoking here.
Excuse me, the music is too loud would you mind turning the volume down please?
กรณีที่ 4  การขออนุญาต
Excuse me, may I come in please?
Excuse me, can I sit here please?
กรณีที่ 5  การขอทาง
กรณีมีคนยืนขวางทาง เมื่อต้องการขอให้เขาหลีกทาง เราใช้
" Excuse me " 
กรณีที่ 6 เมื่อกระทำกริยาไม่สุภาพ หรือ เสียมารยาท เช่น
กรณี ไอ จาม เรอ ต่อหน้าบุคคลอื่น ตามารยาทอังกฤษ ต้องขอโทษทันที โดยพูดว่า " Excuse me"
กรณีที่ 7 เมื่่อฟังไม่ชัด หรือต้องการถามว่า " คุณพูดว่าอะไรนะ "
สามารถใช้ Sorry? / Pardon? / หรือ Excuse me?
ส่วนใหญ่นิยม Sorry? และ Pardon?
แบบที่ 3    Pardon / Pardon me/ I beg your pardon.
คำว่า " Pardon "  มีหลักการใช้ดังนี้
กรณีที่ 1  เมื่่อฟังไม่ชัด หรือต้องการถามว่า " คุณพูดว่าอะไรนะ "
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ใช้  Pardon ?
ตัวอย่างเช่น
Alice : Where are you from?
Mike : South Africa.
Alice : Pardon?
Mike : South Africa.
กรณีที่ 2  สามารถใช้แทน Excuse me เมื่อกระทำกริยาไม่สุภาพ หรือ เสียมารยาท เช่น ไอ จาม เรอ
คำว่า " Pardon me "  มีหลักการใช้ดังนี้
เราสามารถใช้ Pardon me แทน Excuse me ในกรณีขัดจังหวะ หรือเมื่อต้องการถาม ขอร้อง รบกวน หรือ ขออนุญาต เช่น
Pardon me, what time is it please?
Pardon me, would you open the door please?
คำว่า " I beg your pardon "  มีหลักการใช้ดังนี้
กรณีที่ 1 เมื่อต้องการขอโทษเมื่อทำผิด เช่นเดียวกับ " Sorry "
กรณีที่ 2 เมื่อกระทำกริยาไม่สุภาพ หรือ เสียมารยาท เช่นเดียวกับ " Sorry " และ " Excuse me "
แบบที่ 4    Apologize  ( อะพอล' โลไจซฺ )
คำว่า " Apologize " ใช้ขอโทษกรณีที่ทำผิด หรือทำให้บุคคลอื่นเสียใจ ผิดหวัง ซึ่งเป็นทางการมากกว่า Sorry เช่น
I apologize for missing the appointment. ขอโทษที่ผิดนัด

รวมประโยคการขอบคุณและการตอบรับคำขอบคุณ

การขอบคุณในภาษาอังกฤษ โดยทั่วๆไป เราสามารถใช้
Thank you, Thank you very much,Thanks, Thanks a lot, Thanks so much หรือ Many thanks. และอาจตามด้วยจุดประสงค์หรือสิ่งที่อยากขอบคุณ
ไปดูตัวอย่างกันเลยค่ะ
1. Thank you.  ขอบคุณ
2. Thanks. ขอบคุณ
3. Thank you very much. ขอบคุณมาก
4. Thanks so much. ขอบคุณมากนะ
5. Thanks a lot. ขอบคุณมาก
6. Thank you every thing. ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง
7. Thank you for your help. ขอบคุณที่ช่วยเหลือ
    Thank you very much for helping me out today.
8. Thank you for your kindness.ขอบคุณสำหรับความกรุณาของคุณ
9. Thank you for coming.ขอบคุณที่มา
10. Thank you for calling.ขอบคุณที่โทรมา
11. Thank you for having me. ใช้ขอบคุณเจ้าภาพงานเลี้ยง หรือเจ้าของบ้านที่เราพักด้วย หรือเจ้าของสถานที่
12. Thank you for waiting. ขอบคุณที่รอ
      Thank you so much for looking after the children.
13. Thank you for cooking me special recipe. ขอบคุณที่ทำอาหารที่พิเศษให้ฉัน
14. Thank you very much for dinner. ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อเย็น 
       Thank you very much for making dinner tonight.
       Thank you for the drink. I really enjoyed it.
15. Thank you for your advice. ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ / ขอบคุณที่แนะนำ
16. Thank you for me to your dad. ฝากขอบคุณ คุณพ่อด้วยนะ
17. Thank you for your complement. ขอบคุณสำหรับคำชม
18. Thank you for your concern. ขอบคุณสำหรับความห่วงใย / ขอบคุณที่เป็นห่วง
19. Thank you for your offering. ขอบคุณสำหรับข้อเสนอ
20. Thank you for the food. ขอบคุณสำหรับอาหาร
21. Thank you for the drink. ขอบคุณสำหรับเครื่องดื่ม
22. Thank you for your invitation. ขอบคุณที่เชิญ (กรณีได้รับคำเชิญหรือบัตรเชิญ)
23. Thank you for inviting me. ขอบคุณที่เชิญ ( ใช้ขอบคุณเจ้าภาพเมื่ออยู่ในงาน)
24. Thank you for bringing me to the airport. I really appreciate it. ขอบคุณที่มาส่งฉันที่สนามบินนะ
25. Thank you for the present. ขอบคุณสำหรับของขวัญ
26. Thank you for all the the trouble you have  gone to.  ขอบคุณที่ช่วยขจัดปัญหาทั้งหมดให้
27. Thank you for your hospitality. ขอบคุณที่เอื้อเฟื้อ
28. That's very kind of you. คุณช่างมีน้ำใจจริงๆ/ คุณใจดีจริงๆ
29. Thank you for your understanding. ขอบคุณที่เข้าใจ
30.Thank you for your time. ขอบคุณที่สละเวลาให้ / ขอบคุณที่มีเวลาให้
31. Thank you for looking after me. ขอบคุณที่ดูแลกัน / ขอบคุณที่เลี้ยงดูมา
32. Thank you for taking care of me. ขอบคุณที่ใส่ใจ / ขอบคุณที่ดูแล
33. Thank you for your support. ขอบคุณสำหรับกำลังใจ
34. Thank you for visiting. ขอบคุณที่มาเยี่ยม /ขอบคุณที่แวะมา
35. I appreciate that. ฉันซาบซึ้งใจ
36. I really appreciate that. ฉันซาบซึ้งใจจริงๆ
37. You have been very helpful. คุณให้ความช่วยเหลือฉันมากเลยจริงๆ
38. I have no words to thank you. ฉันไม่รู้จะขอบคุณยังไง
39. How thoughtful of you. คุณช่างเอาใจใส่ดีจริงนะ
40. How very kind of you. คุณช่างใจดีอะไรอย่างนี้
41. I'm very grateful. ฉันรู้สึกปลาบปลื้มใจเหลือเกิน

การตอบรับคำขอบคุณ (Ways for Accepting Thanks.)
ในภาษาอังกฤษ การตอบรับคำขอบคุณ ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากเราเงียบเมื่อมีคนบอกขอบคุณเรา เขาจะมองว่าเราไม่สุภาพ หรือไม่เต็มใจรับคำขอบคุณของเขา อย่างน้อย การส่งยิ้มนิดๆ หรือตอบรับนิดๆหน่อยๆ ก็จะยังดูดีกว่าเยอะ
ลองมาดูตัวอย่างการตอบรับคำขอบคุณแบบง่ายๆ ที่สามารถนำมาใช้ได้ทุกโอกาส และตัวอย่างที่ให้ไว้ข้างล่างนี้ สามารถใช้แทนกันได้ เพราะมีความหมายไปในทางเดียวกัน
● That’s all right. ไม่เป็นไร
● That’s ok. ไม่เป็นไร
● You’re welcome. ยินดี / ด้วยความเต็มใจ
● You’re very welcome. ด้วยความยินดี / เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
● My pleasure. ยินดี / ด้วยความเต็มใจ
● It’s my pleasure.ยินดี / ด้วยความเต็มใจ
● The pleasure all is mine.ยินดี / ด้วยความเต็มใจ
● No problem. ไม่เป็นไร / ไม่ใช่ปัญหา / ไม่มีปัญหา
● It wasn’t a problem at all. ไม่ใช่ปัญหา / ยินดี / เต็มใจ
● Don’t mention it. ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ/ค่ะ เต็มใจ
● Don’t worry.  ไม่เป็นไร
● Not at all. ไม่เป็นไร
● It’s nothing. ไม่เป็นไร / ไม่มีปัญหา / ไม่ใช่ปัญหา
● It’s no bother. ไม่เป็นไร / ไม่ใช่เรื่องรบกวนอะไรหรอก
● Think nothing of it. ไม่เป็นไร / ไม่ต้องคิดมากหรอกฉันเต็มใจ
● Sure. ได้เลย / ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
● Sure thing. ได้เลย / ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
● I am so glad that I could help. ดีใจที่ช่วยคุณได้ / ดีใจที่ได้ช่วยคุณ


 บางครั้ง เพื่อความสุภาพมากยิ่งขึ้น เราอาจใช้
“No problem” กับบุคคลที่อายุน้อยกว่า
“You’re welcome” เพื่อให้เกียรติบุคคลที่อายุมากกว่า หรือบุคคลที่เราเคารพนับถือ

ลูกโทน ลูกคนเดียว

คำว่า "ลูกโทน" หมายถึงลูกคนเดียว ไม่มีพี่และน้อง ในภาษาอังกฤษเรียกว่า
"an only child"  (แอน โอนลิ ไชล-ดฺ)

คำว่า "an only child" หมายถึง ลูกโทน ซึ่งไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นลูกสาวหรือลูกชาย

แต่ถ้าต้องการกำหนดเพศหญิงหรือชาย เราสามารถใช้ว่า
"an only son"  (แอน โอนลิ ซัน)  ลูกชายโทน
"an only daughter"  (แอน โอนลิ ดอเทอะ)  ลูกสาวโทน

ตัวอย่าง
Do you have any brothers and sisters? คุณมีพี่น้องหรือเปล่า
No, I'm an only child. ไม่มี ฉันเป็นลูกคนเดียว

หมายเหตุ  สำนวน "an only child"  หรือ "an only son" หรือ "an only daughter"
จะหมายถึงคนที่ไม่มีทั้งพี่และน้องบางคนใช้ผิด เพราะเข้าใจผิด 

ยกตัวอย่าง
สมมติว่า ในครอบครัวหนึ่งมีลูกสามคน เป็นลูกชาย 2 คน ชื่อ แดน กับ บอล
และมีลูกสาว 1 คน ชื่อ แบม 

หลายคนคิดว่า แบม เป็นลูกสาวคนเดียวในครอบครัว ฉะนั้นแบม คือ "an only daughter"
นั่นเป็นการเข้าใจผิด ถึงแม้แบมเป็นลูกสาวคนเดียวในครอบครัวนี้ก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า
แบมไม่มีพี่น้อง 

แบมยังมีพี่หรือน้อง ซึ่งก็คือ แดนกับบอล ฉะนั้นเราจะเรียกแบมว่าเป็น
an only child หรือ an only daughter ไม่ได้ เพราะอาจทำให้ผู้ฟังโดยเฉพาะเจ้าของภาษาเข้าใจผิดได้

Thank you for having me.

สงสัยจังภาษาอังกฤษ คำว่า "Thank you for having me" หมายถึงอะไร
หากจะแปลตามตัว ก็คงแปลว่า "ขอบคุณสำหรับการมีฉัน" เออนะ ฟังดูแปลกๆ

อันที่จริงแล้ว ภาษาแต่ละภาษา ก็ใช่ว่าจะเอามาแปลหรือตีความให้เป็นภาษาบ้านเราได้
บางทีมันก็ฟังดูแปลกจริงๆ บางอย่างเราก็ต้องตามเขา ไม่เน้นความหมายตามตัวอักษร
แต่เน้นฝึกการนำเอามาใช้

คำว่า "Thank you for having me" ไม่สามารถที่จะแปลออกมาเป็นภาษาไทยได้ตรงๆ
เพราะฝรั่งเขาใช้ "Thanknyou for having me" เพื่อเป็นการขอบคุณ "เจ้าภาพ (host)"
ซึ่งเป็นการขอบคุณและบอกลาเจ้าภาพในเวลาเดียวกัน ซึ่งใช้ขอบคุณกรณีต่างๆดังนี้
เช่น การขอบคุณที่เลี้ยงอาหาร  ขอบคุณที่เชิญมางานเลี้ยง ขอบคุณสำหรับที่พักรวมทั้งอาหาร
และการดูแลอื่นๆ ( กรณีมาพักร้อนที่บ้านเพื่อนหรือเจ้าบ้านคนอื่นๆก็เช่นเดียวกัน)

เป็นคำขอบคุณที่แฝงด้วยด้วยการบอกลา ก่อนออกจากงานเลี้ยง
แต่บางครั้งก็ยังมีข้อสำนวน "Thank you for having me over" ซึ่งก็ใช้เหมือนกัน
และถือว่าสุภาพและใช้กันมากที่สุด ส่วนมากใช้ขอบคุณเจ้าบ้านหรือเจ้าภาพที่ให้เราพักด้วย
ส่วน "Thak you for having me" จะใช้สำหรับขอบคุณเจ้าภาพงานเลี้ยง งานสังสรรค์ หรืออาหาร
เนื่องในโอกาสต่างๆ

เงียบ

สำนวนที่ใช้บอกว่าเงียบๆหน่อย /หยุดพูดได้แล้ว รำคาญ
เอ๊!!! เวลาจะบอกคนอื่นว่า "เงียบๆหน่อย" จะพูดว่าไงดีนะ ถึงจะฟังดูไม่น่าเกลียด
มาดูกันค่ะ
ตัวอย่างสำนวนทั้งหมดข้างล่างนี้ มีความหมายว่า "เงียบ" หรือ "อย่าส่งเสียงดัง"
● Be quiet! บิ ไคว้เอ็ท 
หรือ  ถ้าจะให้สุภาพกว่านี้ก็เป็น  Be quiet please! ( บิ ไคว้เอ็ท พลีส  )
●Silence! ซ้ายเลิ่น-ซ
●Hush! ฮัช...
●Hush up!  ฮัช อัพ  ออกเสียงเป็น "ฮัช ชัพ"
●Shush! ชัช…
●Zip it! ซิพ อิท  ออกเสียงเป็น  "ซิพ ผิท"
●Button it! (บั้ท ทัน อิท) แต่เวลาพูดจะออกเสียงเป็น   "บั้ท ทัน หนิท"
●Pipe down! พายพฺ ดาวนฺ
●Put a sock in it! พุท อะ ซ็อค อิน อิท ออกเสียงเป็น "พุท ถะ ซ็อค คิน หนิท"
●Bite your tongue. ไบ้-ท ยัวรฺ ทัง
●You've made your point. ยูฟ เมด ยัวรฺ พ้อยทฺ
●Not another word. น็อท อะนาเธอะ เวิร์ด ออกเสียงเป็น "น็อท ถะ นาเธอะ เวิร์ด"
●Say no more. เซ โน มอร์
●Give me a break. กิฟ มี อะ เบรค
สำนวนต่อไปนี้ ไม่ค่อยสุภาพ ใช้ได้กับคนสนิทเท่านั้นนะคะ
●Shut up! ชัท อัพ  ออกเสียงเป็น   "ชัท ทัพ"
●Shut your mouth! ชัท ยัวร์ มาวธฺ
●Shut your trap! ชัท ยัวรฺ แทร็พ
●Shut your pie hole! ชัท ยัวร์ พาย โฮว-ลฺ

ไป fitness ใช้ถูกหรือผิด

ตกลงที่เราบอกเพื่อนว่า เราจะไปฟิตเนส (fitness) ใช้ถูกหรือผิดกันแน่
คำว่า "fitness" (ฟิทเนส) ในภาษาอังกฤษ เป็นคำนาม (noun) แปลว่า "สมรรถภาพทางร่างกาย"
ฉะนั้นเวลาคนไทยเราถามกันว่าไปไหน ตอบ "ไปฟิตเนส"
คนไทยเข้าใจกันถึงจะแบบผิดๆก็ตาม
แต่ถ้าเราตอบฝรั่งว่า I'm going to fitness. รับรองได้ว่าฝรั่งมีงง
เพราะคำว่า "fitness" ไม่ได้แปลว่า "สถานที่ออกกำลังกาย"
ดังนั้นหากเราจะไปฟิตเนส (ตามที่คนไทยเราพูดกันจนติดปากและเราก็เข้าใจกัน)
เราจะพูดกับฝรั่งว่า I'm going to fitness. ไม่ได้นะจ๊ะๆ ผิดค่ะ
เราควรใช้ว่า I'm going to gym. ไอ'ม โกอิ้ง ทู จิม
คำว่า gym แปลว่า สถานที่ออกกำลังกาย
ตัวอย่าง
Where are you going?
I'm going to the gym to workout.
คำว่า "workout" (เวิร์คเอ้าทฺ) หมายถึง "ออกกำลังกาย" ใช้กรณีที่ออกกำลังกายใน gym
ยังมีอีกคำที่ใช้ได้คือ fitness center (ฟิทเนส เซ็นเทอะ) แปลว่า ศูนย์ออกกำลังกาย
ตัวอย่าง
I go to the fitness center everyday to exercise and keep myself in shape.